จานรวมเสียง
เสียง เป็นคลื่นกลที่ใช้อากาศเป็นพาหะ เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุสั่นสะเทือน ก็จะทำให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหู แต่เสียงสามารถเดินทางผ่าน ก๊าซ ของเหลว และของแข็งก็ได้ แต่ไม่สามารถเดินทางผ่านสุญญากาศได้ เช่น ในอวกาศ
เมื่อการสั่นสะเทือนนั้นมาถึงหูของเรา มันจะถูกแปลงเป็นคลื่นโสตประสาท ซึ่งจะถูกส่งไปยังสมอง ทำให้เรารับรู้และจำแนกเสียงต่างๆ ได้ เสียงแต่ละเสียงมีความแตกต่างกัน เสียงสูง - เสียงต่ำ, เสียงดัง - เสียงเบา หรือคุณภาพของเสียงลักษณะต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิดเสียง และจำนวนรอบต่อวินาทีของการสั่นสะเทือน
โดยปกติแล้วมนุษย์เราจะได้ยินเสียงที่มีช่วงความถี่จำกัด นั่นคือ อยู่ในช่วงความถี่ระหว่าง 20 - 20,000 เฮิรตซ์ (hertz) หรือที่เรียกกันว่า ช่วงการได้ยิน ส่วนเสียงที่มีค่าความถี่ต่ำหรือสูงกว่านั้น หูของเราไม่สามารถได้ยินได้ และความเข้มเสียงที่คนเราได้ยิน อยู่ระหว่าง 0 120 เดซิเบล (dB) คนเราไม่ควรฟังเสียงดังเกินกว่า 85 เดซิเบล (dB) วันละ 8 ชั่วโมง
สำหรับสัตว์ชนิดต่างๆ ก็จะได้ยินเสียงในช่วงความถี่หนึ่งเช่นกัน แต่ช่วงความถี่ที่สัตว์แต่ละชนิดได้ยินจะแตกต่างกันไป อาจมีความถี่ต่ำหรือสูงกว่าช่วงการได้ยินของมนุษย์ ดังตารางด้านล่างนี้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่ามีสัตว์บางชนิดสามารถได้ยินเสียงบางอย่างที่หูมนุษย์ไม่สามารถได้ยินได้ จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่าสุนัขสามารถได้ยินเสียงที่มีความถี่ต่ำและสูงกว่าช่วงการได้ยินของมนุษย์ แมวสามารถได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงกว่าช่วงการได้ยินของมนุษย์ และปลาโลมาสามารถได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงกว่าช่วงการได้ยินของมนุษย์ และยังมีสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่สามารถรับฟังเสียงที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยินได้
จานรวมเสียง หรือพรายกระซิบ เป็นอุปกรณ์เสริมความรู้เกี่ยวกับคลื่นเสียง ประกอบด้วยจานโค้งพาราโบลา 2 ชุด วางหันหน้าเข้าหากัน อยู่ห่างกันพอประมาณ ( 50 - 200 เมตร ) หน้าจานแต่ละชุดมีห่วงวงกลม ซึ่งเป็นตำแหน่งจุดโฟกัสของจานพาราโบลา
หลักการทำงาน ถ้าพลังงานหรือคลื่นเสียงกำเนิด ณ จุดโฟกัสของจาน ไปกระทบผิวโค้งของ จานพาราโบลา และสะท้อนพุ่งตรงไปข้างหน้าจาน เสมือนแสงของไฟฉายที่พุ่งไปด้านหน้า คลื่นจะเดินทางไปได้ไกลไม่กระจัดกระจาย เมื่อกระทบกับหน้าจานพาราโบลา ที่อยู่ด้านตรงกันข้าม จะสะท้อนกับผิวโค้งของจานมารวมกันที่จุดโฟกัส ทำให้คลื่นมีความเข้มมากที่สุด ณ จุดโฟกัส ของจานพาราโบลา เมื่อเอาหูฟังเสียง ณ จุดโฟกัสจะได้ยินเสียงชัดเจนที่สุด
หลักการทำงานของจานรวมเสียง ได้นำมาประดิษฐ์เป็นจานรับสัญญาณดาวเทียม ซึ่งมีหลักการทำงานดังนี้
ส่วนโค้งของจานทำให้สัญญาณที่มาจากทางตรงเกิดการหักเห มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อนทำให้สัญญาณมารวมกันที่จุดเดียวเกิดอัตราการขยาย GAIN สัญญาณตรงจุดโฟกัส ( FOCOS ) จะมีความเข้มสูง
ถ้าความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางของจานมีขนาดใหญ่ อัตราความเข้มของสัญญาณตรงจุดโฟกัสก็จะมีสูง
ถ้าความยาวเส้นผ่าศูนย์กลางของจานน้อยความเข้มของตำแหน่งจุดโฟกัสก็จะน้อย
รูปภาพ แสดงหลักการทำงานของจาน
วัสดุที่นำมาผลิตจานดาวเทียมส่วนใหญ่จะใช้อลูมิเนียม เพราะมีน้ำหนักเบา มีความทนทานมากกว่าเหล็ก และไม่เกิดสนิม
แสดงการส่ง และรับสัญญาณดาวเทียม
แสดงชนิดของจานรับสัญญาณดาวเทียม
แพนดูลัม
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกของ กาลิเลโอ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1584 เมื่อเขากำลังนั่งฟังสวดมนต์อยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาสังเกตเห็นโคมแขวนบนเพดานโบสถ์แกว่งไปแกว่างมา เขาจึงเกิดความสงสัยว่า การแกว่งไปมาของโคมในแต่ละรอบใช้เวลาเท่ากันหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงทดลองจับเวลาการแกว่งไปมาของโคม โดยเทียบกับชีพจรของตัวเอง เนื่องจากเขาเคยเรียนวิชาแพทย์ ทำให้เขารู้ว่าจังหวะการเต้นของชีพจรของคน ในแต่ละครั้งนั้นใช้เวลาเท่ากัน ผลปรากฏว่าไม่ว่าโคมจะแกว่งในลักษณะใดก็แล้วแต่ ระยะเวลาในการแกว่งไปและกลับครบ 1 รอบ จะเท่ากันเสมอ เมื่อเขากลับบ้านได้ทำการทดลองแบบเดียวกันนี้อีกหลายครั้ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าทฤษฎีที่เขาจะตั้งขึ้นถูกต้องที่สุด ซึ่งผลการทดลองก็เหมือนกันทุกครั้ง กาลิเลโอได้ตั้งชื่อทฤษฎีนี้ว่ากฎแพนดูลัม (Pandulum) หรือ กฎการแกว่งของนาฬิกาลูกตุ้ม กาลิเลโอได้นำหลักการจากการทดลองครั้งนี้มาสร้างเครื่องจับเวลา ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1656 คริสเตียน ฮอยเกนส์ (Christiaan Huygens) ได้นำทฤษฎีนี้มาสร้างนาฬิกาลูกตุ้ม
แพนดูลัม (PANDULUM) หมายถึง การแกว่งของวัตถุภายใต้แรงดึงดูดของโลก กาลิเลโอ เป็นผู้ค้นพบหลักการแกว่งของวัตถุภายใต้แรงดึงดูดของโลก
หลักการแกว่งของวัตถุภายใต้แรงดึงดูดของโลก
- ถ้าความยาวของเชือกที่ผูกวัตถุ ยาวขึ้น 2 เท่า จะแกว่งได้นานขึ้น 1.4 เท่า
- ความเร็วการแกว่งจะมีค่าคงที่ ถ้าความยาวของเชือกมีความยาวเท่ากัน
- ถ้าเชือกสั้น ความเร็วการแกว่งจะสูงขึ้น หรือเร็วขึ้น
จากหลักการนี้ ได้นำมาใช้ในการประดิษฐ์เป็นเครื่องมือกำหนดมาตรฐานของเวลา เช่น ลูกตุ้มนาฬิกา เครื่องเคาะจังหวะเสียงดนตรี เป็นต้น
รูปภาพ แสดงการสั่นและแกว่งของวัตถุ