บทเรียนออนไลน์
 -  การเกิดกลางวันและกลางคืน
 -  การเกิดฤดูกาล
 -  น้ำขึ้นน้ำลง
 - การเกิดข้างขึ้นข้างแรม
 - การสุริยุปราคา
 - จันทรุปราคา
บทเรียนวิทยาศาสตร์ออนไลน์   เรื่อง   ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์

การเกิดกลางวันและกลางคืน
                เนื่องจาก โลกเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ โดยโลกจะหมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ เป็นเวลา 365 วัน หรือ 1 ปีในขณะเดียวกันโลกจะหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ โดยกินเวลา 24 ชั่วโมง จึงส่งผลให้ด้านที่โดนแสงจะเป็นเวลากลางวัน ส่วนด้านที่ไม่โดนแสงจะเป็นเวลากลางคืน เมื่อโลกหมุนไปเรื่อยๆ ด้านที่ไม่โดนแสง หรือกลางคืน
จะค่อยๆ หมุนเปลี่ยนมาจนกลายมาเป็นกลางวัน เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า กลางวัน และกลางคืน

การเกิดฤดูกาล

คำว่าฤดูกาลนี้ หมายถึง ฤดูทางดาราศาสตร์ ไม่ใช่ฤดูทางภูมิอากาศ เราอาจจะคุ้นเคยที่ว่าเมืองไทยมี
3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาวและฤดูสมัยนี้ฤดูร้อนจะร้อนเป็นพิเศษ แต่ต่อไปในภายหน้าเราอาจจะ
ไม่สามารถกำหนดเป็นฤดูต่างๆ ได้ เพราะอากาศมันจะวิปริตเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ที่กล่าวมาไม่ใช่ฤดูกาล
ที่เราจะพูดถึง ฤดูในทางดาราศาสตร์มี 4 ฤดูคือ ฤดูใบไม้ผลิ (spring) ฤดูร้อน (summer) ฤดูใบไม้ร่วง (autumn หรือ fall) และฤดูหนาว (winter) ฤดูเหล่านี้เกิดจากแกนโลกเอียง มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร จะว่าให้ฟัง โดยเริ่มจากให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง คือโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ไม่ได้หมุนแบบตั้งตรง เป็นการหมุนแบบเอียง ๆ การเอียงแบบนี้ทำให้บางคราวโลกเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ บางคราวก็เอียงออก ในเวลาที่โลกเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ คือ ขั้วโลกเหนือจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าขั้วโลกใต้ คนที่อาศัยอยู่ในซีกโลกเหนือ อย่างประเทศไทยเป็นต้นนี้ จะเป็นฤดูร้อน เพราะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก ฤดูร้อนนี้เวลากลางวันจะยาวกว่ากลางคืน คือ
เวลาสว่างมากกว่าเวลามืด เราสามารถสังเกตได้โดยดูที่ดวงอาทิตย์ คือ อาทิตย์จะไม่ขึ้นทางทิศตะวันออกพอดี แต่จะขึ้นเอียงไปทางทิศเหนือ เรียกว่า อาทิตย์ปัดเหนือ จุดเริ่มฤดูร้อนนี้เรียกว่า คริษมายัน หรือซัมเมอร์ซอลสทิซ (summer solstice) เป็นจุดที่โลกเอียงเข้าหาอาทิตย์มากที่สุด เวลากลางวันยาวที่สุด และอาทิตย์ขึ้นปัดเหนือที่สุด จะเกิดประมาณวันที่ 22 มิถุนายน ของทุกปี แต่เมืองไทยจะเป็นช่วงฤดูฝน

รูปภาพ แสดงการเกิดฤดูกาลต่าง ๆ

จากจุดเริ่มฤดูร้อน โลกจะค่อย ๆ เอียงออกจากดวงอาทิตย์ (ความจริงแกนโลกเอียงเท่าเดิม แต่จะค่อย ๆ หันด้านที่เอียงออกไป) เวลากลางวันจะค่อยๆ หดลง อาทิตย์จะค่อย ๆ กลับมาขึ้นที่ทิศตะวันออก จนถึงจุดที่เวลากลางวันเท่ากับกลางคืน และอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกพอดีอีกครั้ง จุดนี้คือจุดเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง
เป็นวิษุวัตหรืออีควินอกซ์จุดหนึ่ง เรียกว่า ศารทวิษุวัต (autumnal equinox) อยู่ประมาณวันที่ 23 กันยายน 
ของทุกปี จากนั้นโลกก็จะค่อยๆ เอียงออกจากดวงอาทิตย์ เวลากลางวันค่อยๆ หดสั้นลงอีก อาทิตย์จะค่อยๆ ขึ้นเอียงไปทางทิศใต้ จนถึงจุดที่ขั้วโลกเหนืออยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ขั้วโลกใต้อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด เวลากลางวันสั้นกว่ากลางคืนที่สุด และอาทิตย์ปัดใต้มากที่สุด จุดนี้เป็นจุดเริ่มฤดูหนาวนั่นเอง เรียกว่า เหมายัน (เห-มา-ยัน) หรือวินเทอร์ซอลสติซ (winter solstice) อยู่ประมาณ วันที่ 22 ธันวาคมของทุกปี ต่อจากนั้นโลกจะค่อยๆ เอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ เวลากลางวันค่อยๆ ยาวขึ้น อาทิตย์ค่อยๆ กลับมาขึ้นทางตะวันออก
จนถึงจุดที่กลางวันเท่ากับกลางคืนอีกครั้งหนึ่ง เป็นจุดเริ่มฤดูใบไม้ผลิ เรียกว่า วสันตวิษุวัตหรือ
เวอร์นัลอีควินอกซ์ (vernal equinox) อยู่ประมาณวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี เมืองไทยจะเป็นช่วงฤดูร้อน
สำหรับประเทศที่อยู่ในซีกโลกใต้ฤดูกาลตามที่ว่ามาจะตรงข้ามกับทางซีกโลกเหนือ แต่วสันตวิษุวัตคือ           จุดเดียวกัน ขอให้จำจุดวสันตวิษุวัตนี้ไว้ให้ดี เพราะเป็นจุดที่สำคัญมาก ทางโหราศาสตร์ตะวันตกใช้จุดนี้
เป็นจุดตั้งต้นของจักรราศี (zodiac) เรียกอีกอย่างว่า จุดราศีเมษ (Aries point) จักรราศีแบ่งตามฤดูออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนแบ่งออกไปอีก 3 ส่วน คือ ต้นฤดู กลางฤดู และปลายฤดู รวมการแบ่งจักรราศีได้ทั้งหมด 12 ราศี
มีชื่อเรียกว่าราศี เมษ  พฤษภ  มิถุน  กรกฎ  สิงห์ กันย์ ตุลย์  พิจิก  ธนู  มังกร  กุมภ์  และมีน เราจึงเรียกระบบจักรราศีแบบตะวันตกว่า จักรราศีฤดูกาล (tropical zodiac)

น้ำขึ้นน้ำลง

น้ำขึ้นน้ำลงเกิดจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์จะมีมวล 27 ล้านเท่าของดวงจันทร์ แต่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากโลก 93 ล้านไมล์ ส่วนดวงจันทร์ที่เป็นบริวารของโลกนั้น
อยู่ห่างจากโลกเพียง 240,000 ไมล์ ดังนั้นดวงจันทร์ จึงส่งแรงดึงดูดมายังโลกมากกว่าดวงอาทิตย์ และน้ำที่เกิดจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์จะสูงเพียง ร้อยละ 46 ของระดับน้ำที่สูงจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์
น้ำซึ่งเป็นของเหลว เมื่อถูกแรงดึงดูดจากดวงจันทร์ ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรผ่านบริเวณนั้น น้ำก็จะสูงขึ้นไปในทิศทางเดียวกับที่ดวงจันทร์ปรากฏ และบนผิวโลกในด้านตรงข้ามกับดวงจันทร์ น้ำจะสูงขึ้นด้วย เพราะอำนาจดึงดูดของดวงจันทร์ กับของโลกไปรวมกันในทิศทางนั้น และในตำแหน่งที่คนเห็นดวงจันทร์อยู่สุดลับขอบฟ้า ตรงนั้นน้ำจะลดลงมากที่สุด จึงเท่ากับว่ามีน้ำขึ้น น้ำลง สองแห่งบนโลกในเวลาเดียวกันน้ำจะขึ้นสูงเต็มที่
ทุกๆ 12 ชั่วโมง โดยประมาณ และหลังจากน้ำขึ้นเต็มที่แล้ว ระดับน้ำจะเริ่มลดลง ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง
แต่เนื่องจากดวงจันทร์หมุนรอบโลกจากตะวันตกไปตะวันออก หนึ่งรอบกินเวลาประมาณ 29 วัน น้ำขึ้นและ
น้ำลงจึงช้ากว่าวันก่อน ไปประมาณ 50 นาที หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ในหนึ่งวัน หรือ 24 ชั่วโมง 50 นาที
น้ำจะสูงขึ้น และลดลง 2 ครั้ง  ความแตกต่างระหว่างระดับน้ำสูงสุดกับระดับน้ำต่ำสุด แต่ละแห่งบนโลก
จะไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยจะขึ้นหรือลงประมาณ 3-10 ฟุต ซึ่งสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากตำแหน่งของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์เมื่อโลก และดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ มาอยู่ในแนวเดียวกัน ไม่ว่าดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์
จะอยู่ข้างเดียว หรือคนละข้างกับโลก น้ำจะสูงขึ้นกว่าปกติ เรียกว่า น้ำเกิด (spring tide) ซึ่งจะเกิดขึ้นเดือนละ
2 ครั้ง คือใกล้วันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำ  และเมื่อใดที่ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ อยู่ในแนวตั้งฉาก
ซึ่งกันและกัน ระดับน้ำจะไม่สูงขึ้น แต่จะอยู่ในระดับเดิม ไม่ขึ้นไม่ลง เรียกว่า น้ำตาย จะเกิดขึ้นเดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับน้ำเกิด คือ ใกล้วันขึ้น 8 ค่ำ และวันแรม 8 ค่ำ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งที่น้ำขึ้นมากขึ้นน้อย ลงมากลงน้อย เกี่ยวกับขนาดรูปร่างและความลึกของท้องมหาสมุทรด้วย อย่างเช่นเกาะแก่งต่างๆ จะต้านการขึ้นลงของกระแสน้ำได้มาก ในหมู่เกาะตาฮิติ ระดับน้ำจะขึ้นสูงเพียง 1 ฟุตเท่านั้น แต่บริเวณแผ่นดินที่เป็นรูปกรวย
หันปากออกไปสู่ทะเล จะรับปริมาณของน้ำได้มาก เช่นปากอ่าวของแคว้นโนวาสโคเตียน แห่งแคนดี
ทางตะวันออกของอเมริกาเหนือ น้ำจะขึ้นสูงถึง 40 ฟุต

รูปที่ 1 แสดงการเกิดน้ำขึ้น น้ำลง

เนื่องจากเปลือกโลกเป็นของแข็ง ไม่สามารถยืดหยุ่นตัวไปตามแรงไทดัลซึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วง
ของดวงจันทร์ได้ แต่พื้นผิวส่วนใหญ่ของโลกปกคลุมด้วยน้ำทะเลในมหาสมุทร เป็นของเหลวสามารถปรับทรงเป็นรูปรี ไปตามแรงไทดัลที่เกิดขึ้น (ดังรูปที่ 1) ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง โดยที่ระดับน้ำทะเล
จะขึ้นสูงสุด บนด้านที่หันเข้าหาดวงจันทร์และด้านตรงข้ามดวงจันทร์ (ตำแหน่ง H และ H') และระดับน้ำทะเลจะลงต่ำสุดบนด้านที่ตั้งฉากกับดวงจันทร์ (ตำแหน่ง L และ L') โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ทำให้
ณ ตำแหน่งหนึ่งๆ บนพื้นผิวโลกจึงเคลื่อนผ่านบริเวณที่เกิดน้ำขึ้น และน้ำลง ทั้งสองด้านจึงทำให้เกิด
น้ำขึ้น – น้ำลง วันละ 2 ครั้ง

รูปที่ 2  แสดงการเกิดน้ำขึ้น น้ำลง

ในวันเพ็ญเต็มดวง และในวันเดือนมืด (ขึ้น 15 ค่ำ และแรม 15 ค่ำ) ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์
อยู่ในแนวเดียวกัน แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เสริมกัน ทำให้แรงไทดัลมากขึ้น ระดับน้ำทะเล
จึงมีการเปลี่ยนแปลงมาก กล่าวคือ น้ำขึ้นสูงมากและน้ำลงต่ำกว่ามาก เราเรียกว่า “ น้ำเป็น ” (Spring tides)
(ดังรูปที่ 2)

รูปที่ 3  แสดงการเกิดน้ำขึ้น น้ำลง

ส่วนในวันที่เห็นดวงจันทร์ครึ่งดวง (ขึ้น 8 ค่ำ และ แรม 8 ค่ำ) ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์
อยู่ในแนวตั้งฉากกัน แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไม่เสริมกัน ทำให้ระดับน้ำทะเล
เปลี่ยนแปลงน้อยเรียกว่า “ น้ำตาย ” (Neap tides) ดังรูปที่ 3
การเกิดข้างขึ้นข้างแรม
ดิถี หรือ เฟส หรือ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม ของดวงจันทร์ ในทางดาราศาสตร์ เป็นปรากฏการณ์
ทางดาราศาสตร์อย่างหนึ่งที่เกิดกับดวงจันทร์ นั่นคือดวงจันทร์จะมีส่วนสว่างที่สังเกตได้ที่ไม่เท่ากันในแต่ละคืนเกิดจากการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก โดยหันส่วนสว่างเข้าหาโลกต่างกัน ดิถีที่ต่างกันนี้เองมักใช้กำหนด
วันสำคัญทางพุทธศาสนา และใช้เป็นหลักในการนับเวลา ในปฏิทินจันทรคติ ก่อนที่จะมานิยมใช้ปฏิทินสุริยคติ
การคำนวณดิถีของดวงจันทร์ สามารถทำได้ทั้งแบบดาราศาสตร์สมัยใหม่และดาราศาสตร์แผนเก่า เช่น ใช้กระดานปักขคณนาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือใช้ตำราสุริยยาตร์ ในการคำนวณ
สำหรับในทางโหราศาสตร์  ดิถีคือวันทางจันทรคติ (lunar day) ซึ่งก็เกี่ยวพันกับข้างขึ้นข้างแรมหรือดิถีในความหมายทางดาราศาสตร์ที่กล่าวมาแล้ว ดิถีเป็นส่วนประกอบของปฏิทินจันทรคติ ซึ่งนั่นคือข้างขึ้นข้างแรมที่สังเกตได้ยามค่ำคืนนั่นเอง

ภาพการเกิดดิถีของดวงจันทร์

การเกิดดิถี

ดิถี เกิดจากการโคจรของดวงจันทร์โคจรรอบโลก ขณะที่โคจรทั้งรอบโลกและรอบดวงอาทิตย์
ก็จะมีส่วนสว่างที่เกิดจากแสงของดวงอาทิตย์ โดยที่ส่วนสว่างของดวงจันทร์ที่หันเข้าหาโลกมีไม่เท่ากันเนื่องจากตำแหน่งรอบโลกที่ต่างกันจนเกิดการเว้าแหว่งไปบ้าง  และเกิดเป็นข้างขึ้นข้างแรมโดยที่มีคาบ
ของการเกิดประมาณ 29.53 วัน (29 วัน 12 ชั่วโมง 44 นาที) เรียกระยะนี้ว่า เดือนจันทรคติ (synodic month)
ซึ่งยาวกว่า เดือนดาราคติ (sidereal month) ไปประมาณ 2 วัน บางครั้ง อาจเกิดสุริยุปราคาได้ เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่มาในตำแหน่งที่บังแสงจากดวงอาทิตย์ เมื่อเทียบกับผู้สังเกตบนโลก ซึ่งจะเกิดในวันเดือนดับ
และอาจเกิดจันทรุปราคาได้เมื่อดวงจันทร์มาอยู่ในเงาของโลก ซึ่งเกิดในวันเดือนเพ็ญ ทั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงดิถีของดวงจันทร์ ในซีกโลกเหนือ ถ้าเราหันหน้าลงทิศใต้ ดวงจันทร์จะแสดงส่วนสว่างด้านทิศตะวันตกก่อนในข้างขึ้น จากนั้นจะค่อยๆ แสดงส่วนสว่างมากขึ้น และจากนั้นก็ลดส่วนสว่างจากด้าน
ทิศตะวันตกไปจนหมด ส่วนในซีกโลกใต้ ถ้าหันหน้าขึ้นทิศเหนือ ทิศทางก็จะเป็นไปในทางกลับกัน นั่นคือ
ดวงจันทร์จะแสดงด้านทิศตะวันออกก่อนในข้างขึ้น และเผยส่วนทิศตะวันตก

การสุริยุปราคา

รูปภาพแสดงสุริยุปราคาเต็มดวง

สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาเรียงอยู่ในแนวเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับ
จันทร์ดับ เมื่อสังเกตจากพื้นโลกจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ โดยอาจบังมิดหมดทั้งดวง
หรือบางส่วนก็ได้ ในแต่ละปีสามารถเกิดสุริยุปราคาบนโลกได้อย่างน้อย 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 ครั้ง ในจำนวนนี้อาจไม่มีสุริยุปราคาเต็มดวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง โอกาสที่จะได้เห็นสุริยุปราคา
เต็มดวงสำหรับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งบนพื้นโลกนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากสุริยุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งจะเกิดในบริเวณแคบ ๆ ภายในแถบที่เงามืดของดวงจันทร์พาดผ่านเท่านั้น

สุริยุปราคาเต็มดวงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงาม น่าตื่นเต้น และสร้างความประทับใจแก่คน
ที่ได้ชม ผู้คนจำนวนมากต่างพากันเดินทางไปยังดินแดนอันห่างไกลเพื่อคอยเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์นี้ สุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อ พ.ศ. 2542 ที่เห็นได้ในทวีปยุโรป ทำให้สาธารณชนหันมาสนใจสุริยุปราคาเพิ่มขึ้นมาก สังเกตได้จากจำนวนประชาชนที่เดินทางไปเฝ้าสังเกตสุริยุปราคาวงแหวนใน พ.ศ. 2548 และสุริยุปราคาเต็มดวงใน พ.ศ. 2549 สุริยุปราคาครั้งที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ คือสุริยุปราคาวงแหวนเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552
และสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รูปภาพสุริยุปราคาวงแหวน

รูปภาพดวงจันทร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์

ดวงจันทร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ สังเกตจากยาน STEREO-B เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ที่ระยะ 4.4  เท่าของระยะระหว่างโลกกับดวงจันทร์
ประเภทของสุริยุปราคา
สุริยุปราคามี 4 ชนิด ได้แก่

  • สุริยุปราคาเต็มดวง (total eclipse): ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดทั้งดวง
  • สุริยุปราคาบางส่วน (partial eclipse): มีเพียงบางส่วนของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ถูกบัง
  • สุริยุปราคาวงแหวน (annular eclipse): ดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากโลก ดวงจันทร์จึงปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์
  • สุริยุปราคาผสม (hybrid eclipse): ความโค้งของโลกทำให้สุริยุปราคาคราวเดียวกันกลายเป็นแบบ
    ผสมได้ คือ บางส่วนของแนวคราสเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง ที่เหลือเห็นสุริยุปราคาวงแหวนบริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวงเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากกว่า

จันทรุปราคา
จันทรุปราคา (เรียกได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น จันทรคาธ, จันทรคราส, ราหูอมจันทร์ หรือ กบกินเดือน)คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ เรียงอยู่ในแนวเดียวกันพอดี หากเกิดขึ้นในช่วงพระจันทร์เต็มดวง เมื่อดวงจันทร์ผ่านเงาของโลก จะเรียกว่า จันทรุปราคา ปรากฏการณ์จันทรุปราคาแม้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มีอิทธิพลต่อความคิดและความเชื่อในหลายวัฒนธรรมมาช้านาน รวมทั้งของไทยด้วย ซึ่งลักษณะของจันทรุปราคาขึ้นอยู่กับตำแหน่งของดวงจันทร์ที่เคลื่อนที่ผ่านเงาของโลกในเวลานั้นๆ

ประเภทของจันทรุปราคา
จันทรุปราคาเงามัว  เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเงามัวของโลก จันทรุปราคาลักษณะนี้
จะสังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจนมากนัก เนื่องจากความสว่างของดวงจันทร์จะลดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จันทรุปราคาเงามัวเต็มดวง เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปในเงามัวของโลกทั้งดวงแต่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในบริเวณเงามืด ดวงจันทร์ด้านที่อยู่ใกล้เงามืดมากกว่าจะมืดกว่าด้านที่อยู่ไกลออกไป จันทรุปราคาลักษณะนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
จันทรุปราคาเต็มดวง  เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าสู่เงามืดของโลกทั้งดวง ดวงจันทร์จะอยู่ภายใต้เงามืดของโลกนานเกือบ 107 นาที เนื่องจากดวงจันทร์เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วประมาณ 1 กิโลเมตรต่อวินาที
แต่หากนับเวลาตั้งแต่ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนเข้าสู่เงามืดจนออกจากเงามืดทั้งดวง อาจกินเวลาถึง 6 ชั่วโมง 14 นาที
จันทรุปราคาบางส่วน  เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเงามืดของโลกเพียงบางส่วน จันทรุปราคาเกิดจากประมาณว่าดวงจันทร์มาบังดวงอาทิตย์

ลักษณะของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง
เมื่อเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ไม่ได้หายไปจนมืดทั้งดวง แต่จะเห็นเป็นสีแดงอิฐเนื่องจาก
มีการหักเหของแสงอาทิตย์เมื่อส่องผ่านชั้นบรรยากาศของโลก สีของดวงจันทร์เมื่อเกิดจันทรุปราคาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังนี้

  • ระดับ 0 ดวงจันทร์มืดจนแทบมองไม่เห็น
  • ระดับ 1 ดวงจันทร์มืด เห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลแต่มองไม่เห็นรายละเอียด ลักษณะพื้นผิวของดวงจันทร์
  • ระดับ  2  ดวงจันทร์มีสีแดงเข้มบริเวณด้านในของเงามืด และมีสีเหลืองสว่างบริเวณด้านนอกของเงามืด
  • ระดับ  3  ดวงจันทร์มีสีแดงอิฐและมีสีเหลืองสว่างบริเวณขอบของเงามืด
  • ระดับ  4  ดวงจันทร์สว่างสีทองแดงหรือสีส้ม ด้านขอบของเงาสว่างมาก

ฝนดาวตก คืออะไร
                นักดาราศาสตร์ศึกษาถึงที่มาของฝนดาวตก หรือฝนอุกกาบาต พบว่าอุกกาบาตเหล่านี้ต่างโคจร
รอบดวงอาทิตย์ในเส้นทางเดียวกับดาวหางบางดวง และได้ข้อสรุปชัดเจนว่า ฝนดาวตกมีความสัมพันธ์
กับดาวหาง ดาวหางเป็นวัตถุท้องฟ้าอย่างหนึ่ง คล้ายก้อนน้ำแข็งสกปรกของหินและฝุ่น เกาะกันอยู่ ด้วยก๊าซและน้ำที่แข็งตัว เมื่อดาวหางเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้น้ำแข็งรอบนอกระเหิดออก ปล่อยซากเศษชิ้นส่วนเล็กๆ กระจายเป็นธารอุกกาบาตเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางโคจรของดาวหาง   เมื่อโลกเคลื่อนที่ผ่านธารอุกกาบาตเหล่านี้ จึงดูดเศษหินและเศษโลหะเหล่านั้น ให้วิ่งเข้ามาในเขตบรรยากาศโลก ด้วยความเร็วสูง ความร้อนจากการเสียดสีกับบรรยากาศ เกิดเป็นลูกไฟ สว่าง เรียกว่า  ฝนดาวตก
ทุกวันนี้ เรารู้จักฝนดาวตกชุดที่มีปริมาณดาวตกหนาแน่น น่าสนใจมากกว่า 10 ชุด ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นประจำ เกือบทุกเดือนในรอบปี นอกจากนั้นยังมีฝนดาวตกชุดที่เบาบางไม่น่าสนใจอีกหลายชุด ฝนดาวตกเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่แน่นอน บางปีเราอาจเห็นฝนดาวตกชุดหนึ่ง มีจำนวนดาวตกมากเห็นได้ชัดเจน
แต่อาจเบาบางในอีกปีหนึ่ง เพราะสาเหตุหลายอย่างแต่ที่สำคัญคือ โลกเคลื่อนที่ตัดกับวงทางโคจรของดาวหาง เป็นระยะใกล้ไกลมากเพียงใดในปีนั้น และเพราะซากเศษดาวหาง หลุดออกมาเป็นกลุ่มๆ ถ้ามีจำนวนมาก
แล้วโลกเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มซากอุกกาบาตนั้นในปีใด ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ฝนดาวตก หนาแน่นมากเป็นพิเศษ เรียกว่า พายุฝนดาวตก

ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาขอนแก่น
ถนนมิตรภาพ ตำบลบ้านไผ่ อำเภอบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น 40110
Tel. 043-274154-5 Fax. 043-274046